ฆ่าเชื้อด้วยแสง UV | Sanitize PPE (personal protection equipment)
การฆ่าเชื้อโรค ทางการแพทย์สามารถใช้ได้หลายอย่าง ขึนอยู่กับชนิดของเชื้อโรค อุปกรณ์ในการฆ่าเชื้อ ปริมาณวัสดุที่ต้องการฆ่าเชื้อโรค และ ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องนำมาประยุกต์ใช้ตามเหตุการณ์และความเหมาะสม แต่สิ่งอื่นใด ทางการแพทย์จะมองที่ประสิทธิภาพเป็นหลักมาก่อน ต่อให้วิธีการอื่นที่มีราคาถูกกว่าแต่ถ้าประสิทธิภาพที่ออกมา ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ทางการแพทย์จะไม่ยอมรับวิธการนั้น ซึ่งหนึ่งในวิธีที่การแพทย์นำมาใช้ก็คือรังสี UV หรือ รังสีอุลตราไวโอเลต
ถ้าถามว่าช่วงคลื่นแม่เหล็กที่เรารู้จักกันดี ก็จะมีเป็นช่วงคลื่นช่วงแสงที่เรามองเห็น (visible spectrum) ซึ่งเป็นช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตาเราสามารถมองเห็นได้ หรือพูดง่ายๆคือแสงสีขาว ซึ่งที่เรารู้จักกันดี แสงแดดนั่นเอง สังเกตได้ว่าในช่วงสเปกตรัมที่เราเห็นด้านที่มีความยาวคลื่นสั้นด้านซ้ายมือจะเป็นสีม่วง ส่วนด้านที่มีความยาวคลื่นยาวขวามือจะเป็นสีแดง
ทีนี้ UV หรือ Ultraviolet คือช่วงแสงที่อยู่เหนือช่วงคลื่นสีม่วงที่เรามองเห็นไปทางด้านซ้าย (ทำให้ภาษาไทยเรียกว่าช่วงเหนือม่วง) ส่วน Infrared คือช่วงแสงที่อยู่ใต้ช่วงคลื่นสีแดงที่เรามองเห็นไปทางขวา
จริงๆแล้ว UV ทั้งหมดจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เรามองไม่เห็น อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 100–400 นาโนเมตร แต่ละช่วงย่อยก็มีพลังงานและความสามารถในการทะลุทะลวงต่างกัน เลยมีการแบ่ง UV ออกเป็น 3 ช่วงย่อยได้แก่
- UVA (Long Wavelength) อยู่ในช่วง 320–400 nm เป็นช่วง UV ที่สามารถทะลุทะลวงได้สูงสามารถทะลุไปถึงผิวชั้นในได้ และไปกระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังทำให้ผิวเป็นคล้ำขึ้นเป็นสีแทน
- UVB (Medium Wavelength) อยู่ในช่วง 280–320 nm เป็นช่วง UV ที่สามารถทำให้ผิวชั้นนอกไหม้ได้
- UVC (Short Wavelength) อยู่ในช่วง 200–280 nm เป็นช่วงที่มีพลังงานสูงสุดใน UV มีอันตรายต่อเซลล์สิ่งมีชีวิต แต่มีความสามารถในการทะลุทะลวงต่ำมาก
ช่วงคลื่นของแสง UVC มีอนุภาคโฟตอนที่ความถี่อยู่ในช่วงที่สามารถทำให้เซลสิ่งมีชีวิตเสียหายในระดับ DNA ได้ดังนั้นเลยทำให้พวกไวรัส แบคทีเรีย ที่มีขนาดเล็กๆนั้นเสื่อมสภาพ ดังในภาพ
นอกจากความยาวคลื่นแล้ว ปริมาณการการปล่อยรังสี UV ที่ออกมาและเวลาที่ใช้ ต้องมีความสันพันธ์หรือมากพอ ที่จะสามารถนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อได้
อย่างที่ทราบกัน ทุกอย่างจะมี 2 ด้านเสมอ ในเมื่อรังสี UV-C สามารถฆ่าเชื้อโรค ต่างๆ ได้ มันก็สามารถทำลายเซลร่างกายได้เช่นเดียวกัน เช่น ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบได้ หรือ ถ้าได้รับมากที่ปริมาณดวงตา ก็จะเกิดการอักเสบ นำไปสู่การเป็นต้อกระจกได้ อีกอย่างที่อาจจะไม่ทราบกัน เนื่องจากมีการแตกตัวของอนุภาค ก็จะทำให้ O2 ในการอากาศบริเวณนั้น กลายเป็น O3 ซึ่งเป็นพิษกับร่างกายได้ จึงไม่ควรให้มีการสัมผัสโดยตรงกับร่างกาย และควรอยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อได้ผลสูงสุด และไม่ส่งผลเสียกับผู้นำไปใช้
ดังนั้น การใช้นำแสง UV-C มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคนั้น ต้องคำนึงถึงอุปกรณ์ที่นำใช้ จะต้องมีความมั่นใจเรื่องของคุณภาพ ว่าได้รับการรับรองในประสิทธิภาพในการใช้งาน และ ความปลอดภัย ตลอดจนวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง
เนื่องจาก ภาวะโลกเรามีความเป็นพิษมากขึ้น เชื้อโรคมีการพัฒนาและดื้อต่อการรักษา สิ่งเดียวที่เราจะทำได้ นั่นคือการป้องกัน ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคร้ายแรง ต่างๆ เข้ามาสู่เราได้ หรือ ให้น้อยที่สุดเพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิขึ้นมา หรือ ให้อาการของโรคไม่รุนแรงไป โดยเฉพาะเชื้อโรคไวรัส covid-19 สามารถอยุ่ในอากาศ และ พื้นผิวข้างนอกได้นาน เป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งทาง who หรือ สถาบันทางการแพทย์ต่างๆ คิดว่า โรคไวรัส covid -19 จะเป็นโรคระบาดอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องอยู่กับเราไปอีกนาน แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการ ใช้mask เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากทางเดินหายใจ ลดการสัมผัส หรือ Social distancing และ ใช้การล้างมือบ่อยๆ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้
แม้ว่าเราพยายามจะล้างมือด้วยสบู่ หรือทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ ด้วยแอลกอฮอล์ แต่จะมีสิ่งของที่ติดตัวเราอีกมากมายที่เราได้นำออกไปทำธุระภายนอก แล้วเราไม่ได้ทำความสะอาด เช่น แว่นตา : กุญแจรถ : มือถือ : แหวน : นาฬิกา : หูฟังมือถือ : i pod : บัตรเครดิต : ธนบัตร:ปากกา :ดินสอ: นามบัตร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะลืม แต่เป็นสิ่งที่นำออกไปติดตัวด้วยเสมอ และ นำมาออกมาใช้ เมื่อออกไปทำธุระ และมักจะวางไว้ตามโต๊ะ ข้างนอก หรือ นำออกมาที่สาธารณะ บนรถไฟฟ้า บนรถประจำทาง ในร้านอาหาร หรือ ทางเดิน ซึ่งมีโอกาสได้รับเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น โดยเฉพาะถ้าช่วงมีการระบาดโรคทีร้ายแรง ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ เราไม่สามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายได้ จึงได้เกิดนวัตกรรม คิดค้นนำแสง UV-C มาใส่ในภาชนะปิดขนาดเล็ก ที่สามารถพกพาได้สะดวก เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อในสิ่งของเครื่องใช้ประจำตัว ซึ่งเรียกว่า sanitize PPE ( personal protection equipment ) และจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อไปในอนาคต สำหรับการใช้ลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรคต่างๆ ที่สำคัญอุปกรณ์ นี้ ยังสามารถใช้กับสิ่งของเครื่องใช้ของเด็กได้ดีอีกด้วย เนื่องจากไม่เกิดการตกค้างเหมือนสารเคมี ที่อาจมีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และ ผิวหนังได้
ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกใช้ sanitize PPE หรือ Sterile box นั้น เราควรคำนึงถึงความคุ้มค่า และความปลอดภัย ดังนี้
- ประสิทธิภาพในการทำงาน : ความยาวคลื่น อยู่ในช่วง 200-280 nm. และ คุณภาพของหลอดไฟ ซึ่งอาจจะดูได้จากอายุการใช้งานได้นานกี่ชั่วโมง
- ตำแหน่งการวางหลอดไฟ ไม่ควรวางหลอดไฟในจุดที่มีโอกาสมองเห็นได้ง่าย เช่น ที่ฝากล่องด้านใน
- โครงสร้างของกล่องที่ใช้ ต้องป้องกันไม่ให้แสง UV-C เล็ดลอดอออกมาภายนอกได้ และไม่ควรมองเห็นแสงได้ด้วยตาเปล่า
- ได้รับการผ่านการทดลอง UV- C Sterilizer test จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
นอกจากข้อที่ควรคำนึงถึงเหล่านี้แล้ว การใช้รังสี UV-C เป็นการทำฆ่าเชื้อ โดยการไปทำลายโครงสร้างระดับเซล ของ DND หรือ RNA ถ้าเปรียบเหมือน การเอาไฟฉายส่องเข้าไปในวัตถุ แล้วเกิดความสว่าง โดยที่ไม่ได้ทำให้วัตถุนั่น เปลี่ยนรูปร่างภายนอก จึงแตกต่างจากการทำความสะอาดด้วยวิธีการทั่วไป เช่น การใช้สารเคมี หรือ ความร้อน เพราะสารเคมี จะมีกลิ่นของน้ำยาที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ ( ซึ่งต้องระวังการตกค้าง ) ส่วน การใช้ความร้อน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนของรูปร่าง หรือ ถ้าใช้ความร้อนด้วยไอน้ำ ก็จะไม่เหมาะกับสิ่งของที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการใช้วิธีการทั่วไปนี้ ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสะอาด แต่การนำ UV-C มาใช้นี้เป็นการทำลายเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น ลดความเสี่ยงการติดเชื้อโรคต่างๆ ไม่ได้เป็นการทำความสะอาดวัสดุภายสิ่งของเครื่องใช้ที่นำมาฆ่าเชื้อโรค ดังนั้น ความสะอาดของสิ่งของเครื่องใช้ ก็ยังมีความจำเป็น ในกรณีที่ยังทำได้